มีบ้างไหมที่พอโตมาแล้วมองย้อนกลับไปช่วงชีวิตในวัยเด็ก บางปัญหาที่เกิดขึ้นในวัยนั้นเทียบกับตอนนี้แล้วกลายเป็นปัญหาที่สู้ชีวิตที่เจอในวัยผู้ใหญ่แทบไม่ติด แต่มันกลับเป็นตัวที่ช่วยหล่อหลอมให้เราเติบโตขึ้น กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา และแข็งแกร่งจนเป็นเราในทุกวันนี้ได้
Coming of Age เป็นคำนิยามภาพยนตร์ของช่วงชีวิตในวัยเด็กที่ต้องมีการละทิ้งความวัยเยาว์ ไร้เดียงสา ก่อนจะเติบโตขึ้นไปสู่วัยผู้ใหญ่ได้ดีที่สุด จะมีกี่ช่วงชีวิตที่เราจะได้ลองใช้ชีวิตได้แบบที่ลองผิดลองถูกตามวัยของตัวเองได้ตามที่ใจต้องการ ได้เป็นตัวเองในแบบที่ไม่ยึดติดไปกับบริบทของกรอบสังคม แม้จะมีเด็กอีกหลายคนที่สมควรได้เติบโตให้สมกับวัยของเขา แต่กลับทำไม่ได้เพราะระเบียบของสังคม และข้อจำกัดในชีวิตที่เขาไม่สามารถเลือกได้
วันนี้แสนสิริจึงอยากพาทุกคนมาย้อนไปพบกับภาพยนต์ Coming of Age ที่ยังฟุ้งในใจแต่ละช่วงวัยของชีวิตต่างๆ ที่จะได้เห็นการเติบโต การเผชิญหน้าของแต่ละช่วงวัย ที่ไม่ใช่แค่ปัญหาเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาพร้อมให้แง่คิดและการเติบโต ทั้งเด็ก ครอบครัว และสังคมได้อีกด้วยค่ะ
เพราะยังมี “เด็ก” หลายคนหลุดออกจากระบบการศึกษาและพลาดโอกาสในการเติบโต ทำตามความฝัน และพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น แสนสิริจึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจริเริ่มสร้างความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ ผ่านโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน”
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ Zero Dropout คลิก https://siri.ly/vB3ouu1
The Breakfast Club (1985)
ภาพยนตร์ที่จะพาเราเข้าไปสู่เรื่องราวของกลุ่มเด็กมีปัญหาทั้ง 5 คน ที่ต้องการแหกกฎอยู่ตลอดเวลา จึงต้องมาทำกิจกรรมชดเชยในวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยกันที่โรงเรียน ทำให้เราได้รับรู้ถึงปัญหาที่ซ่อนไว้ในจิตใจของเด็กทุกคน เหมือนกับการค่อยๆ เปิดประตูทีละบานจนไปเจอกับความจริงที่ทำให้รู้ว่า ทุกการกระทำนั้นล้วนเกิดจากสังคมและผู้ใหญ่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการโดนกดดัน ต้องเชื่อฟังคำสั่งทุกอย่าง หรือโดนเมินเหมือนกับไม่มีตัวตน บ้างก็ร้ายแรงถึงขั้นมีความรุนแรงในครอบครัว
ซึ่งถ้าทุกคนรอบตัวลองมองพวกเขาให้ลึกมากขึ้น ไม่ใช่แค่มองว่าเป็นเด็กคนหนึ่งที่มีแต่ปัญหา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง มีความฝัน ความรัก ได้เช่นกัน การทำความเข้าใจ เอาใจใส่ ยอมรับกันและกัน รวมถึง
“อย่าโตไปเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เราเคยเกลียด”
คงเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์และเราในวัยเด็ก อยากสอนและให้คุณได้ลองถามตัวเองดูว่าจิตใจของคุณในตอนนี้กลายไปเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ตัวคุณเองเคยเกลียดสมัยเด็กไปแล้วหรือยัง
แฟนฉัน (2003)
“เจี๊ยบตัดยางเราทำไม?” คงเป็นประโยคแรกที่ใครหลายคนนึกถึง ถ้าพูดถึงอีกหนึ่งภาพยนต์ Coming of Age ชื่อดังของไทยเรื่องนี้ ที่พาเราดำดิ่งไปกับมิตรภาพวัยเด็กของเจี๊ยบกับน้อยหน่า แต่เมื่อเจี๊ยบโตขึ้นก็เริ่มห่างเหินจากน้อยหน่าและกลุ่มเพื่อนผู้หญิง จุดเปลี่ยนนี้เองที่เจี๊ยบเริ่มทำร้ายความรู้สึกน้อยหน่าไปทีละนิดโดยไม่รู้ตัว แต่กลับไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำขอโทษในวันสุดท้ายที่ต้องจากลากัน
จากความรัก Puppy Love ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาแบบไม่มีอะไรมาครอบงำ แปลเปลี่ยนไปเป็นโชคชะตาที่เล่นตลกร้ายกับความรู้สึกเด็กทั้งสอง บริบทนี้เองที่ทำให้ใครหลายคนได้หวนคืนความ nostalgia ผ่านความทรงจำดีๆ และรักครั้งแรกเมื่อครั้งเยาว์วัยของตัวเอง ที่เหลือไว้เพียงความทรงจำสีจาง
“อยากบอกเธอ…รักครั้งแรก”
เป็นประโยคจากเพลงประกอบภาพยนตร์ที่เจี๊ยบอยากบอกน้อยหน่ามากที่สุด แต่ไม่ได้พูดออกไปจนเวลาผ่านมานับสิบปี แม้จะมาถึงบทสุดท้าย แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะลงเอยสวยงามเหมือนที่เราในวัยเด็กคิดไว้เสมอไป อาจจะเจอกับเรื่องไม่คาดฝัน เพื่อให้ตัวเราได้เติบโต เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตผ่านความผิดหวัง และไม่ได้ดั่งใจบ้างในวัยเด็ก
Juno (2007)
การเป็นคุณแม่วัยใสในวัยเรียน อาจจะเป็นอะไรที่ไม่คาดคิดและยอมรับได้ยาก ทั้งจากในครอบครัวและในสังคมเอง Coming of Age ในภาพยนตร์เรื่องอื่นเป็นเพียงแค่การก้าวข้ามจากวัยเด็กสู่วัยรุ่น แต่กับจูโน่ เป็นการก้าวข้ามจากเด็กผู้หญิงสู่การเป็นแม่คนในวัยแค่ 17 ปี ตัวบทและเส้นเรื่องภาพยนตร์ให้จูโน่เป็นคนพาเราไปเจอกับ แรงกดดันที่ต้องเผชิญ ทางเดินชีวิตที่เลือก และแนวทางการแก้ปัญหา ที่ให้ข้อคิดว่า
“จะร้ายดียังไงคนที่ใช่ก็ยังเห็นเราเป็นคนพิเศษ คนแบบนี้ควรคู่ที่จะอยู่ด้วย”
ทำให้เห็นว่า ไม่ว่ากี่ปัญหาใหญ่ในแต่ละช่วงชีวิตของเรา ก็เล็กลงทันตาจนมองแทบไม่เห็นได้ เมื่อทุกคนรอบตัวล้วนเข้าใจสิ่งที่จูโน่ต้องเผชิญ ไม่ทอดทิ้งไปไหน คอยอยู่ช่วยเหลือให้กำลังใจกันและกัน
สุดท้ายแล้วสิ่งที่หนังต้องการอยากจะบอกเราคือ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ การตัดสินใจในเส้นทางที่เลือกทำให้เห็นว่าเด็กอาจโตเป็นผู้ใหญ่ได้ ในระยะเวลาไม่กี่เดือน หรืออาจยังเป็นเด็กไม่รู้จักโตไปตลอดชีวิตได้เช่นกัน เพราะสิ่งที่มากกว่าปัญหาคือการได้เรียนรู้ที่จะ เปิดใจเข้าหาครอบครัว ได้แชร์ความรู้สึกกับเพื่อนสนิท และนิยามที่แท้จริงของคำว่าชีวิตคู่ ที่ผ่านพ้นเข้ามาให้เราได้เติบโตเหมือนกับฝนที่ตกลงมาในหน้าแล้ง
Lady Bird (2017)
มีใครเคยอยู่ในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ขวางโลก ไม่ฟังใคร ยังหาตัวเองไม่เจอ ที่ต้องการใครสักคนที่เข้าอกเข้าใจตัวเราจริงๆ บ้าง เหมือนกันกับคริสทีน หรือ เลดี้ เบิร์ด ที่อยากจะรู้ว่า มีสักครั้งไหมที่แม่จะเข้าใจความรู้สึกของเธอบ้าง ทำไมต้องหาโอกาสต่อว่าเธอเสมอ ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ถึงเรื่องเล็กน้อยอย่างการไม่เก็บที่นอน
เลดี้ เบิร์ด เป็นภาพยนตร์ Coming of Age ที่สื่อผ่านสองวัยที่แตกต่างทำให้เห็นถึงหลากหลายความคิดเห็นต่างกันโดยสิ้นเชิงจากแม่และคริสทีน แต่ถึงจะเถียงกันรุนแรงและบ้าคลั่งกี่ครั้ง ก็ยังสัมผัสได้ถึงความรักและความหวังดีที่ทั้งสองมีต่อกันเสมอ เหมือนที่แม่บอกกับ เลดี้ เบิร์ด ในตอนที่รู้สึกไม่มั่นคงกับชีวิตที่สุดว่า
“จงมีความสุขกับความไม่สมบูรณ์แบบ กับเวอร์ชันที่ดีที่สุดที่เราจะมีได้”
ท้ายที่สุดแล้วหนังก็แค่อยากจะบอกกับเราว่า ครอบครัวยังไงก็คือครอบครัว แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็ต้องลองปล่อยให้ลูกนกน้อยตัวนี้ได้ออกจากกรง และไปโบยบินสู่โลกอันกว้างใหญ่สักครั้ง ให้ไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะภูมิใจและรักความเป็นตัวเองแบบที่ไม่ต้องยึดติดกรอบใดๆ ในสังคม เพราะเด็กในช่วงวัยนี้ต้องการแค่ “ความเข้าใจ” จากคนที่รักที่สุดก็เท่านั้นเอง
Love, Simon (2018)
เพราะการก้าวผ่านช่วงชีวิตในวัยเด็กมันไม่เคยง่าย เหมือนกับไซมอนที่เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่อยากจะใช้ชีวิต แต่ก็กลัวการผิดพลาด และไม่อยากทำให้คนรอบข้างรู้สึกผิดหวังในตัวเขา กับความลับที่ไซมอนเก็บงำมานานถึง 5 ปี ในรสนิยมทางเพศของตัวเอง ที่ยากจะ Come Out หรือเปิดเผยสถานะตัวเองให้ทุกคนได้รู้ จนมาเจอข้อความบนบอร์ดโรงเรียนของ ‘บลู’ ทำให้ไซมอนตัดสินใจส่งอีเมลหาบลูเพื่อแชร์ความรู้สึกจนกลายเป็นเรื่องราวสุดแสนประทับใจ เพราะ
“ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศไหน ก็คู่ควรกับเรื่องราวความรักที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต”
หนึ่งในประโยคที่กินใจจากภาพยนตร์ที่อยากบอกใครหลายคนว่าการเป็นเกย์คือเรื่องปกติ และโลกไม่ได้พังทลายหากคุณไม่ได้ชอบเพศตรงข้าม แม้สังคมสมัยนี้จะเปิดกว้างยอมรับความหลากหลายได้กว่าอดีต แต่การบูลลี่หรือด้อยค่าเรื่องเพศสภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ในสังคมก็ควรจะหายไปตามกาลเวลาที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว
และครอบครัวคือคนที่สำคัญที่สุด การทำความเข้าใจ เปิดใจยอมรับความจริง ถ้าหากลูกตัวเองเลือกที่จะรักใครหรือใช้ชีวิตอย่างไรอย่างแท้จริง ก็เพียงพอแล้วสำหรับเด็กคนหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้วเราทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน มีชีวิต มีความรู้สึก และมีหัวใจที่จะใช้รักใครสักคน
Moxie (2021)
ในช่วงชีวิตการเรียนเคยไหมที่เจอกับ การบูลลี่ การเหยียดเพศ รวมถึงระบบชายเป็นใหญ่ ความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ถ้ามีภาพยนตร์ที่สะท้อนปัญหาเหล่านี้ออกมาได้ดีที่สุด ก็คงต้องให้วิเวียนพาเราไปทลายสิ่งเหล่านี้ผ่านภาพยนตร์ Moxie เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดว่าระบบโครงสร้างชายเป็นใหญ่นั้นกดทับคนทุกเพศ และความไม่เป็นธรรมทางเพศ คือเรื่องของทุกคน ที่สอนให้เรารู้ว่า
“หากไม่พอใจ อย่ากลัวที่จะส่งเสียงออกมา”
ขบวนการ Moxie บอกเล่ามุมมองแนวคิดให้กับเด็กสมัยใหม่ ที่ต้องเผชิญหน้าปัญหาเหล่านี้ไม่มีที่สิ้นสุด ว่าเราไม่จำเป็นต้องยอมจำนน หรือปล่อยเรื่อราวเหล่านั้นให้ผ่านไปเฉยๆ แต่เราลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงได้ ถ้ามองว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็น
เพราะเราทุกคนเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ ทุกคนมีสิทธิและเสียงเท่ากันทั้งชายและหญิง เสียงของทุกเพศมีค่า และไม่ได้ด้อยค่าไปมากกว่าเพศชายในสังคมเลยสักนิด เพื่อในวันหนึ่งเด็กที่ลุกมาเปลี่ยนแปลงสังคมในวันนั้น จะพูดได้แบบเต็มปากอย่างภาคภูมิใจเหมือนที่ Moxie ต้องการจะสื่อถึงเราผ่านภาพยนตร์
“แม่ คนอายุ 16 ปี เขาสนใจอะไรกัน?”
“ตอนแม่อายุ 16 สิ่งที่แม่สนใจคือ การทำลายระบบชายเป็นใหญ่”